ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ศาสนาพุทธ

๖ พ.ค. ๒๕๖o

ศาสนาพุทธ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “คำสาปแช่ง

กราบเรียนหลวงพ่อ หนูทำบ้านให้คนเช่ามานานหลายปีแล้วค่ะ จนวันนี้มีคนย้ายออก ลูกบ้านคนนี้อยู่กับหนูมา ๒-๓ ปีแล้วค่ะ และหนูได้ทำสัญญาทุก ๒ ปี โดยมีเงื่อนไข ถ้าอยู่ไม่ครบ ๒ ปีจะไม่คืนเงินมัดจำ แต่ลูกบ้านเขาย้ายออกไปอาทิตย์ที่แล้ว เขาจะไปอยู่ต่างประเทศ

ตอบ : เสร็จแล้วเขามาพูดถึงเรื่องค่ามัดจำ แล้วเขาก็มีปัญหากัน มีปัญหากันก็เขียนมายาวเนาะ อันนี้ไม่พูดถึง แต่เราพูดถึงว่า สิ่งที่ว่าเขาทำอาชีพ คนประกอบสัมมาอาชีวะใช่ไหม อาชีพของเรา ในทางโลก ในทางโลกเวลาเขาปฏิบัติ ชาวพุทธเราต้องทำสัมมาอาชีวะ ถ้าเราทำสัมมาอาชีวะถูกต้องดีงามแล้วก็เป็นสัมมาอาชีวะของเรา แต่ถ้าสัมมาอาชีวะของเรา เราทำสิ่งใดไปแล้วมันมีปัญหา มันมีปัญหาทุกหน้าที่การงานน่ะ

เวลาพระก็เหมือนกัน เวลาพระออกบิณฑบาตไง เวลาพระออกบิณฑบาต โยมนี้อยากใส่บาตร เขาก็อยากใส่บาตรกับพระดีๆ เวลาพระดีๆ กรณีนี้กรณีของหลวงปู่ลี วัดอโศฯ หลวงปู่ลี วัดอโศฯ ท่านอยู่เมืองจันท์ฯ ในประวัติของท่านไง แล้วเวลาท่านไปเผยแผ่ใหม่ๆ พอเผยแผ่ใหม่ๆ เวลาไปบิณฑบาต พระทั่วๆ ไปเขาก็ไม่ชอบ พอพระทั่วไปเขาไม่ชอบ เขาก็บิณฑบาต มันมียายแก่อยู่คนหนึ่ง ยายแก่อยู่คนหนึ่งเขาเก็บถุงอาหารของเขาเอาไว้ใส่เฉพาะหลวงปู่ลี วัดอโศการาม เฉพาะหลวงปู่ลี เวลาท่านพ่อลีๆ จะใส่ท่านพ่อลี

ฉะนั้น พระทั่วไปเขาก็บิณฑบาตมา เขาเจาะจง เขาจะมาเอาอาหารถุงนั้นน่ะ ยายแก่นั้นท่านไม่ให้ เขาไม่ให้หรอก เวลาพระมา เขาก็ตักข้าวใส่บาตรๆ ไป แต่เขามีอาหารของเขาไว้ จะไว้ใส่ท่านพ่อลีๆ จนพระท่านถามน่ะ ถามว่าอาหารทำไมไม่ใส่เขา ทำไมใส่แต่พระองค์นั้น ทำไมใส่แต่พระองค์นั้นน่ะ

ยายแก่นั้นบอกว่า เดิมเขาก็ใส่ทั่วๆ ไปนี่แหละ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไปวัด ไปวัดท่านพ่อลีก็ไปดูสภาพวัด เวลาวัดป่าคลองกุ้งตอนที่ท่านสร้างใหม่ๆ ท่านบอกว่าท่านไปเดินนะ ในครัว แม้แต่กระเทียมสักหัวสองหัวยังไม่มีเลย คือเขาไปเห็นความเป็นอยู่ของพระไง พอยิ่งไปเห็นความเป็นอยู่ของพระ พระอยู่แบบสันโดษ เขายิ่งเป็นห่วงเป็นใย ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของเขาว่าที่วัดมันไม่มีอะไรเลย ถ้าบิณฑบาตไม่ได้อาหารอะไรไปเลย ท่านก็ต้องฉันข้าวเปล่าๆ ฉะนั้น เขาก็เลยเจาะจงไง เจาะจงทำอาหารไว้ถุงหนึ่งเอาไว้ใส่ท่านพ่อลีๆ

นี่เวลาโยมเขาจะใส่บาตรเขาก็แสวงหา เขาก็ดูใช่ไหม แล้วไอ้พระที่มาๆ ที่เขาบอก แล้วชาวบ้านเขาก็เห็น ชาวบ้านก็ถาม ถามยายแก่ บอกว่ายายแก่ใส่บาตรใจไม่เป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมต้องใส่เสมอภาค ทำไมพระพวกนั้นมาทำไมไม่ให้เขา ทำไมไม่ใส่บาตรเขา ทำไมไปเจาะจงใส่บาตรท่านพ่อลีๆ ไง

ยายแก่นั้นพูดนะ เอ็งไปดูที่วัดสิ เอ็งไปดูที่วัดท่านสิ ที่วัดท่านน่ะไม่มีอะไรเลย ถ้าเราไม่ใส่อะไรไปเลย ท่านก็จะไม่ได้ฉัน แล้วเอ็งไปดูวัดพวกนั้นสิ วัดพวกนั้นนะฉันสองมื้อสามมื้อ ยังมีคนมาส่งมาเสีย อาหารในตู้เย็นยังเต็มไปหมดน่ะ

เขาไปดูมา เขาไปเห็นมาไง พอเขาไปดูมา เขาไปเห็นมา เขาถึงพยายามจะช่วย ช่วยคนที่สันโดษ ที่ว่าอัตคัดขาดแคลน ไอ้คนที่เขามีแล้วไม่ต้องไปช่วยเหลือเขา เขาก็อยู่รอดของเขา แต่ไอ้พวกที่จะอยู่รอดของเขาก็อยากจะได้ไอ้กับข้าวถุงนั้นน่ะ ไอ้กับข้าวถุงนั้นถุงเดียว แต่ที่ว่าของตน สิบล้อใส่ไม่หมดนู่นน่ะ ด้วยความโลภ นี่ความโลภของพระนะ

นี่พูดถึงว่า คนต้องทำสัมมาอาชีวะนะ พระเราก็ต้องเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งๆ ทีนี้โยมที่เขามีหูมีตาเขาก็คัด เขาก็เลือก เขาก็แยกของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะย้อนกลับมาที่เราทำสัมมาอาชีวะนี่ เราบอกว่า ผู้ที่มาเช่าบ้านเราอยู่จะเป็นพระที่ดีไปเสียหมดเลย จะเป็นคนดีหมดมันก็ไม่ใช่ ไอ้คนที่ดีก็ดีกับเราเหลือเกิน ไอ้คนที่เขาเห็นแก่ตัว เขาเบียดเบียน เขาก็เบียดเบียนเหลือเกิน

ไอ้กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ว่ามันเป็นจริตนิสัยของคน มันเป็นที่อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าอำนาจวาสนาของคน ถ้าเราเป็นพุทธมามกะ เราเป็นผู้ที่เป็นชาวพุทธ ถ้าเรามีหลักในใจของเรา เรามีหลักในใจของเรา เราทำหัวใจของเรา ถ้าทำหัวใจของเราเป็นความจริงของเรา ทำจริงของเรา เพราะ

เราเป็นชาวพุทธ

เราถือศีล ศีล ๕

ศีล ๕ ของเรา เราต้องสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เพราะเราถือศีล เพราะอะไร เพราะเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราเป็นลูกศิษย์กรรมฐาน เราอยากปฏิบัติ เราอยากจะได้สมาธิ เราอยากจะได้มีศีล เราอยากจะได้มีสมาธิ เราอยากจะได้มีปัญญา เราอยากจะฝึกหัดหัวใจของเรา เรามีเป้าหมายของเราว่าเราอยากจะมีคุณธรรม ถ้าเราอยากมีคุณธรรมนะ นี่เส้นทางเดินๆ

เส้นทางเดินของเรา เราจะรักษาของเรา เส้นทางเดินของเรา เราจะรักษาให้ดี เราจะไปเบียดเบียนใคร เราจะไปทำร้ายใคร ถ้าเราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ทำร้ายใคร เราทำแต่คุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา แล้วถ้าทำคุณงามความดีของเรา มันจะไปกระทบกระเทือนใคร เราต้องมีจุดยืน ยืนในคุณงามความดีของเราไง

ถ้าเราไม่มีจุดยืนของเรา พอเขาพูดสิ่งใด เราก็เหลวไหลไปตามเขาใช่ไหม ตามกระแสสังคมไง สังคมจะชักนำเราไปก็ได้ไง เราจะทำบุญ ถ้าได้บุญเยอะๆ จะได้ทำบุญ เราก็ชักนำกันไป แล้วเราเชื่อเขาหรือ เพราะอะไร

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะนะ เราเป็นฆราวาส เราหาเงินมาได้ ๑ บาท เราจะใช้จ่ายในชีวิตเรา ๑ สลึง เราทำทุนในธุรกิจเราอีก ๑ สลึง เราจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เราจะเลี้ยงหมู่คณาญาติของเราอีก ๑ สลึง มีอีก ๑ สลึง เราค่อยฝังดินไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ทำบุญด้วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า “ฝังดินไว้” ฝังดินไว้ก็คือทำบุญกุศลไง ฝังไว้ในศาสนาไง ฝังไว้ในหัวใจของเราไง นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะทำบุญจนไม่มีหลักมีเกณฑ์

ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เราจะบอกว่า แม้แต่ในพระมันก็ยังมีพระที่เข้าใจถูกต้องตามธรรมวินัย หรือเข้าใจตามกิเลสของตน มีความเข้าใจ แม้แต่พระเรายังเลือกไม่ได้เลย แล้วคนที่มาเช่าบ้านเรา เราจะบอกให้เป็นคนดีเหมือนเรา มันเลือกไม่ได้ ถ้าเลือกไม่ได้ปั๊บ เราต้องมีจุดยืนไง ถ้าเลือกไม่ได้แล้วเราจะไปทุกข์ยากอะไรกับเขา

เราไม่ใช่ไปทุกข์ยากไปกับเขานะ แต่เราต้องมีสติไง เราต้องมีสติมีปัญญาทำสิ่งใดให้ถูกต้องดีงามของเรา เราทำถูกต้องตามที่เขาบอกว่าเขามีสัญญาต่อกัน เขาทำสัญญา เราก็ทำของเราตามสัญญานั้น ถ้าเราจะอะลุ่มอล่วยได้มากน้อยแค่ไหน เราก็จะอะลุ่มอล่วยของเราได้มากน้อยแค่นั้น ถ้ามันอะลุ่มอล่วยได้ใช่ไหม ถ้าเราเห็นสมควร แต่ถ้าเราไม่เห็นสมควร เรามีสติปัญญา เราก็มีสติปัญญาของเรา

ฉะนั้น เขาบอกว่า สุดท้ายแล้วเขาบอกว่า เขาต่อว่า แล้วเขาเขียนมาสาปแช่ง เวลาสาปแช่ง เขาบอกว่า “เขาไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเขาทำให้คนอื่นรู้สึกเสียใจ หนูไม่ตอบโต้อะไรเขากลับเลย ลบข้อความทิ้ง บล็อกในการสนทนา หลายวันนี้สิ่งที่เขาสาปแช่งหนูยังติดในความคิดหนูเลยค่ะ ไม่มีวันไหนที่หนูจะนอนได้หลับสนิท ขอหลวงพ่อช่วยแนะนำให้หนูด้วยนะคะว่าหนูควรจะทำใจอย่างใดให้สงบจากความคิดที่คำสาปแช่งของเขา

นี่มันจิตใจของหนูไง ถ้าเป็นจิตใจของหลวงพ่อ คนทำคุณงามความดีนะ จะไม่มีคนติฉินนินทามันเป็นไปไม่ได้ เราอ่านพระไตรปิฎกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วซาบซึ้งมาก แล้วจำมาเทศน์ จะใช้คำว่า “จำขี้ปาก” เดี๋ยวจะว่าไปลบหลู่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก เราจำขี้ปากมาไง

ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมรุนแรงนัก อย่าเสียใจ อย่าเศร้าใจ ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง ให้ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เพราะว่าใน ๓ โลกธาตุนี้ ผู้ที่จะโดนโลกธรรมที่รุนแรงเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไม่มี

แล้วเราอ่านพระไตรปิฎกมาสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไป ดูสิ เขาจ้างคนมาฆ่า เขาทำลาย ลัทธิต่างๆ เขาวางแผนนะ นางจิญจมาณวิกาที่เข้าไปอยู่ในวัดบ่อยๆ แล้วก็เอาหมอนผูกท้องไว้ไง แล้วไปชี้หน้าพระพุทธเจ้าไง “นี่ดีแต่สอนคนอื่น ดีแต่สอนคนอื่น ทำดิฉันท้องป่องอยู่นี่ไง” จนเทวดาทนไม่ไหว แปลงร่างกลายเป็นหนูเข้ามากัดเชือกที่ผูก แล้วหมอนตกลงมาไง พอตกลงมานี่ โอ้โฮจะโดนประชาทัณฑ์น่ะ

โดนขนาดนั้นนะ โดนใส่ไคล้ โดนใส่ความ โดนร้อยแปด จากอะไร จากพวกพราหมณ์ จากพวกที่ลัทธิศาสนาเก่าๆ นั่นน่ะ นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมาโดนขนาดนั้นนะ

แต่พวกเราไม่ได้คิดอย่างนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อู้ฮูประเสริฐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบุญมาก คิดว่ามันจะสะดวกราบเรียบแบบที่เราคิดไง แต่อุปสรรคมหาศาล แต่ท่านทำของท่านมาด้วยหัวใจที่ท่านไม่มีกิเลสไง

ฉะนั้นบอกว่า เวลาไปอ่านพระไตรปิฎก “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมที่รุนแรงนะ อย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง ให้เหมือนช้างศึกออกสงคราม แม้จะโดนธนู จะโดนทหารมันทำร้าย ช้างศึกนั้นก็ไม่หวั่นไหว” นี่พูดถึงว่าคนที่มีคุณธรรม

ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่เรา ถ้าย้อนกลับมาที่เรา สิ่งที่เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธแล้วเราอยู่ในท่ามกลางสังคม สังคมเขาจะเป็นคนดี สังคมนี้จะเป็นคนที่เชิดชูเรา เหมือนเราหมด มันไม่มี แต่ถ้าสังคมเราอยู่ในสภาคกรรมที่ไหนที่ดี สภาคกรรม เราได้สร้างบุญสร้างกรรมมากับใคร บ้านข้างเรือนเคียงของเรามีแต่คนดีๆ นะ โอ้โฮมีความสุข คนมีบุญ บ้านข้างเรือนเคียงทะเลาะกัน เพราะเราไปอยู่ในสังคมอย่างนั้นไง

ทีนี้เรามีอาชีพด้วย อาชีพที่ว่าเขามาอยู่อาศัย แล้วเขาจะทำตัวดี ทำตัวเลว มันเป็นนิสัยของเขา แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธๆ เราจะเข้ามาตรงนี้

ถ้าเราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนธรรมและวินัยๆ เรามีศีลมีธรรมของเรา ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา เราทำแต่คุณงามความดีของเรา

แต่นั่นมันเรื่องของเขา มันมีความจำเป็นว่าเราต้องอยู่กับเขา มันเป็นธุรกิจ มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำธุรกิจต่อกันน่ะ แล้วคนมันร้อยแปด ทีนี้เราทำธุรกิจ เราต้องมีสติมีปัญญา เราไม่โกงเขาอยู่แล้ว เราไม่เอาเปรียบเขาอยู่แล้ว เราไม่ทำกับเขาอยู่แล้ว เพราะเรามีศีล แต่ถ้าเขาจะเอาของของเรา แล้วไม่ได้ดั่งใจของเขา แล้วเขาจะเขียนสาปแช่งมา

ภาษาเรานะ ไร้สาระ ไร้สาระมาก ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธรรม ๘ ยังรุนแรงขนาดนั้น หลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติฯ คนที่เป็นสายบุญสายกรรมก็สาธุการไปกับท่าน ลูกศิษย์ลูกหาอยู่ก้นกุฏิเลย คัดค้านท่าน ไม่เอากับท่านก็เยอะแยะ แล้วผู้ที่เห็นต่างพยายามร้องเรียน พยายามหาความผิดเพ่งโทษท่านก็เยอะแยะ แล้วหลวงตาท่านทำดีหรือทำชั่วล่ะ ท่านทำดี แล้วท่านทำดีทำไมท่านโดนขนาดนั้นน่ะ ท่านก็ยังโดนขนาดนั้น เห็นไหม

เราถึงบอกว่าคำสาปแช่งไร้สาระ ถ้าเป็นเรานะ เพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านโดนรุนแรงมากกว่านั้น เฉยๆ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าของเราโดน เราก็เฉยๆ ฉะนั้น ถ้าภาษาเรามันต้องแบบว่าเรามีหลักมีเกณฑ์ คือว่ามีหลักในใจ

แต่ถ้าเป็นฆราวาส ถ้ายังไม่มีหลัก ถ้ามีหลัก เราก็คิดเข้ามาตรงนี้ไง โลกธรรม ๘ ติฉินนินทาเป็นโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ เขาจะว่าเราดีขนาดไหน ถ้าเราไม่ดี เราก็ไม่ดีทั้งนั้นน่ะ เราดีขนาดไหน เขาจะบอกว่าเราเลวขนาดไหน เราก็ดีอยู่อย่างนั้นน่ะ

หลวงตา เขาจะโจมตีขนาดไหนก็เรื่องของเขาน่ะ สุดท้ายแล้วท่านก็ทำโครงการของท่านจบสิ้น ท่านทำให้ประเทศชาติ เห็นไหม คนเวลาเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ มีแต่คนมีความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น คนไม่มีที่พึ่งอาศัยทั้งนั้น เวลาท่านออกมาเป็นผู้นำ ทุกคนจะถามว่า “หลวงตา หลวงตาเป็นพระหลวงตาองค์เดียวจะช่วยชาติได้หรือ หลวงตาจะกู้ชาติได้หรือ

มีแต่คนถามอย่างนั้นทั้งสิ้นเลย แต่มันก็มีกำลังใจนะ ไอ้คนที่ไม่มีทางไปมันก็ยังมีทางไปของเขาใช่ไหม คนที่ไม่มีหนทางเลย มืดแปดด้าน มันมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ มันก็ยังมีความอบอุ่นใจน่ะ ทำให้ครอบครัว ทำให้สังคมฟื้นตัวขึ้นมา

โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ ใครทำดีเกินหน้าไม่ได้ ใครทำอะไรไม่ได้ อิจฉาตาร้อนเขาไปทั้งนั้น พออิจฉาตาร้อนไปแล้วก็ทิ่มตำเขา แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา

คำสาปแช่ง เราจะเข้ามา “คำสาปแช่ง” เราอ่านแล้วขำๆ เพราะคำสาปแช่ง คำสาปแช่งก็คือคำสาปแช่ง เสียงนกเสียงกา เสียงนกเสียงกาที่เขาพูดมันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เสียงนกเสียงกา เสียงกามันร้องทุกวันเลย กาๆ

ในความเชื่อวัฒนธรรม นกแสกร้องจะมีคนตาย เขาว่านะ วันไหนนกแสกร้อง วันนั้นเป็นเรื่องเลย แล้วมันก็ร้องมันทุกวันน่ะ มันเป็นนก มันก็ร้องโดยธรรมชาติของมัน

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน คำติฉินนินทา คำสาปแช่ง เขาไม่ได้ดั่งใจเขา นี่ด้วยความโลภ ด้วยความต้องการของเขา ความปรารถนาของเขา ไม่ได้สมความปรารถนามันก็เกิดความโกรธ พอเกิดความโกรธก็เขียนมา แล้วเราไปเปิดดู นี่ยังดี เขาบอกลบไปแล้ว เขียนมานะ

เราเคยอยู่กับหลวงตานะ ท่านเวลารับแขกเหนื่อยแล้วท่านก็บอกให้โยมกลับ ให้โยมกลับ โยมนั้นมาจากกรุงเทพฯ หลวงตาบอกว่าท่านมีธุระนะ ท่านก็กลับไปที่กุฏิไง กลับไปที่พักของท่าน แล้วท่านก็ไปนั่งดูหนังสือของท่าน แล้วท่านกลับไปพักผ่อน โยมนั้นก็เดินเที่ยววัดไปเจอไปเห็นเข้า ก็กลับกรุงเทพฯ

กลับกรุงเทพฯ ไปเสร็จแล้วเขียนจดหมายมาเลยนะ “แหมดิฉันมาจากกรุงเทพฯ น่ะ มาไกลแสนไกลเลยนะ แหมท่านหลวงตาล่ะไม่ต้อนรับแขกเลย บอกว่ามีธุระ กลับไปที่กุฏิก็เห็นไปนั่งอ่านหนังสือ ธุระอะไร ไม่เห็นใจคน

โอ๋ยเขียนมาด่าเต็มเลย แล้วท่านก็เอาจดหมายให้พวกเราดู หลวงตาท่านเป็นนักปราชญ์ แล้วท่านสอนพวกเราโดยให้เห็นไงว่าท่านเองเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงขนาดนั้นท่านยังโดนเขาเหน็บเอาอย่างนี้ แล้วก็ให้พระอ่าน เราก็อ่าน แล้วท่านพูดคำนี้ เราจำจนเดี๋ยวนี้ไง

กระดาษเปื้อนหมึก เขานะ ควรจะได้บุญกุศล เขามาวัดเขาไม่ได้ดูเลยว่าก่อนที่จะเข้ามา เราได้เทศนาว่าการ เราได้ตอบปัญหาธรรมกับประชาชนทั้งศาลา เราตอบปัญหาจนจบแล้ว แล้วเขาเพิ่งเข้ามา แล้วเข้ามาแล้ว

ธรรมดาธาตุขันธ์ รถถ้ามันใช้งานนะ เขาต้องพักรถ คนที่ทำงานมาพอแรงแล้วมันถึงเวลาจะพัก ท่านอยากจะพักเพราะว่าไฟเหลือง คือว่าร่างกายมันเต็มทีอยู่แล้ว ท่านก็จะกลับไปพักของท่าน แล้วเขาก็เดินเข้าไปในกุฏิไปเห็นเวลาท่านพัก แต่ทำไมไม่เห็นตอนเวลาท่านเทศนาว่าการคนทั้งศาลาล่ะ แล้วไม่เห็นท่านตอบปัญหาธรรมคนที่เขาถามปัญหาที่เขาขัดข้องล่ะ ท่านทำงานเต็มที่แล้ว แล้วหมดเวลาแล้ว แล้วท่านจะกลับไปพักของท่านน่ะ แล้วคนที่มาก็จะให้ท่านต้อนรับๆ แล้วพอท่านไปพักผ่อนก็ไปเห็นน่ะ

ท่านบอกว่ามันเป็นกระดาษเปื้อนหมึกไง มันเป็นความเห็นของเขา ท่านกลับเมตตาเขา ท่านกลับสงสารเขานะ สงสารเขาว่า เวลาท่านทำคุณงามความดี ไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความดี เวลาท่านพักผ่อน หาว่าไม่ต้อนรับไง

ท่านบอกว่ามันเป็นกระดาษเปื้อนหมึก คือมันเป็นความเห็นของเขา มันเป็นบาปเป็นกรรมของเขา มันเป็นทิฏฐิของเขา มันเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของคนเขียนจดหมาย มันไม่เป็นเรื่องของท่าน แต่จดหมายเขียนมาด่าท่าน ว่าอย่างนั้นเถอะ

แต่ท่านบอกว่ามันเป็นกระดาษเปื้อนหมึก อ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ ถึงจะอ่านหรือไม่อ่านท่านก็ไม่หวั่นไหวไปกับเรื่องอย่างนี้หรอก มันเรื่องไร้สาระ

เรื่องไร้สาระตรงไหน

เรื่องไร้สาระว่าท่านได้พักได้ผ่อนขึ้นมา รักษาร่างกายไม่ให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ท่านจะไปทำประโยชน์ข้างหน้าได้อีกมหาศาลเลย

แล้วเวลาท่านเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว แล้วคนนู้นก็จะมาถามปัญหา คนนี้ก็จะมาถามปัญหา แล้วให้ท่านตอบปัญหาไป ร่างกายมันก็อ่อนไปเรื่อยๆ โรคภัยไข้เจ็บมันก็กลับมา โรคภัยไข้เจ็บมันก็สุมเข้ามา เวลาถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้ประโยชน์กับโลกมันก็ได้น้อยเกินไปไง ถ้าจะเห็นประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์ส่วนใหญ่ ท่านพยายามรักษาธาตุขันธ์ของท่านเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ๆ

แต่ไอ้คนที่มันไม่ได้ดั่งใจๆ มาแล้วไม่ได้พบ มาแล้ว ท่านบอกว่ามันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นกรรมของสัตว์ เราอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านสอนมาอย่างนี้ ต่อหน้าเลย

ฉะนั้น ไอ้คำติฉินนินทานี่นะ ไอ้คำที่ใครจะด่านี่นะ จิ๊บๆ ไร้สาระ โลกธรรม ๘ ถูกใจก็ชม ผิดใจก็ด่า แล้วกาลเวลาของคน แล้วคนคนเดียวที่คอยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสังคม แล้วร่มโพธิ์ร่มไทรนั้น ดูสิ ร่มโพธิ์ร่มไทรนั้นเขายังต้องรดน้ำพรวนดินให้ปุ๋ยเพื่อให้มันมีชีวิตไว้เพื่ออาศัยร่มเงา แล้วนี่คน คนควรจะได้พักได้ผ่อน ได้มีเวลาบ้าง นี่พูดถึงหลวงตาท่านสอนแบบนี้

ฉะนั้นบอกว่า ไอ้คำสาปแช่ง เพราะไม่มีใครหรอกที่จะทำแล้วทุกคนชอบ ทุกคนพอใจเหมือนกัน ไม่มีในโลกนี้ ในโลกนี้มันไม่มี ถ้าในโลกนี้ไม่มี

ฉะนั้น หน้าที่ของโยมมันยิ่งน่าสงสาร เพราะโยมต้องเผชิญกับอย่างนี้ตลอดไง ผู้ที่มาอยู่อาศัย โยมจะเผชิญตลอด โยมจะเห็นทั้งคนดี คนปานกลาง คนเห็นแก่ตัว โยมจะต้องเห็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันเป็นอาชีพของเราไง

ถ้าเป็นอาชีพของเรานะ สิ่งกระทบกระเทือน สิ่งกระทบกระทั่ง เป็นเรื่องคำสาปแช่งของเขาทำให้หนูนอนไม่หลับเลย หนูคิดอยู่ หนูนอนหลับสนิทไม่ได้ มันฝังใจ

นี่ไง วุฒิภาวะของจิต วุฒิภาวะของคนมันแตกต่าง สูงต่ำมันแตกต่างกัน ถ้าวุฒิภาวะเขาสูงส่ง เขาเห็นคุณงามความดีของเรา เขาก็จะเห็น ถ้าวุฒิภาวะของเขาต่ำกว่า เขาก็จะเอารัดเอาเปรียบ ไอ้เรื่องอย่างนี้มันต้องมีสติปัญญา ผู้นำต้องมีสติปัญญา นี่เราจะเผชิญกับเขาไง

ฉะนั้น เราพูดถึงคำสาปแช่งนี้ก่อน คำสาปแช่ง เราจะบอกว่า ชาวพุทธนะ พระพุทธศาสนาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้นะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ศาสนาพุทธของเรา

เราดูกันอยู่นี่ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธสอน ก็ประชาชนชาวไทย ประชาชนชาวไทยว่าเป็นชาวพุทธๆ เสียงร่ำเสียงลือ ไอ้เรื่องมงคลตื่นข่าว ทำไมไม่มีเหตุมีผลอะไรกันเลยหรือ ทำไมชาวพุทธทำไมเชื่ออะไรกันง่ายๆ ทำไมชาวพุทธเชื่อสิ่งที่ไม่ใช่ในพระพุทธศาสนาล่ะ

พระพุทธศาสนานะ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าทำทาน ถ้าเป็นชาวพุทธนะ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาละสังโยชน์ ๓ ตัว ไม่เชื่อในคำสอนนอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อเลย

ไอ้นี่แม้แต่วัด รูปเคารพยังบ้าบอคอแตกกันไปหมดเลย มันเป็นศาสนาอะไรก็ไม่รู้ไง นี่ความอ่อนแอของหัวใจของคนไง แล้วมันความอ่อนแอของผู้นำด้วย ความอ่อนแอของพระนี่ โยมมา “นู่นก็ดี นี่ก็ดี”...อ้าวดีก็ไว้บ้านโยมสิ ถ้าโยมดี

นี่วัดดี วัดดี หัวหน้าที่ดี มันต้องมีกฎมีเกณฑ์ไง ถ้ามีกฎมีเกณฑ์ มีกฎมีเกณฑ์เพราะอะไร เพราะมันมีศีลมีธรรมไง ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมามันก็อยู่ในหลัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีรูปเคารพนอกพระพุทธศาสนา ในวัดต้องมีรูปของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ถ้ามันมีอย่างอื่นมามันก็ศาสนาอื่น แล้วศาสนาอื่นมันมีขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามีรูปเคารพอื่น ขาดจากไตรสรณคมน์ เป็นเณรยังเป็นไม่ได้เลย อย่าว่าเป็นพระ แล้วนี่เป็นพระอยู่ในวัดนะ รักษาอะไรกัน นี่มันเริ่มต้นอย่างนั้น จะชี้บอกว่าโยมอ่อนแอๆ อยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ โยมอ่อนแอๆ ถ้าวัดไหนเขาไม่ทำ ทำอย่างนั้นไม่ได้

ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น เป็นสามเณร สามเณรต้องถือรัตนตรัย ถ้าขาดจากรัตนตรัยไม่ใช่สามเณร แต่ไปดูวัดที่อื่นสิ แล้วมันเป็นวัดที่ไหนนั่นน่ะ มันจะเป็นศาลเจ้า เป็นศาลเจ้าไปหมดแล้ว มันไม่มีวัดหรอก

ถ้าเป็นวัดนะ ถ้าพระเข้มแข็งขึ้นมาอย่างนี้ปั๊บ ดูสิ เวลากองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นลงมาภาคอีสาน มันน่าสงสารนะ ถือผี หากินนะ ฆ่าไก่ตัวหนึ่งก็ต้องเซ่นผีครึ่งหนึ่ง ได้กินครึ่งหนึ่ง จะอะไรก็ต้องเซ่นผีครึ่งหนึ่ง จนหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น กองทัพธรรมปราบผีมาหมดไง ไม่ให้ถือผีไง ให้มาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เช้าขึ้นมาถ้ามีกำลังก็ให้ใส่บาตร ให้ใส่บาตร ทำบุญตักบาตร แล้วถึงเวลานะ ผีต้องขอบุญจากมนุษย์น่ะ ผีต้องมาขอบุญจากมนุษย์ นี่ไง ถ้ามันเป็นชาวพุทธๆ

ชาวพุทธสอนอะไร แล้วถ้าชาวพุทธสอน

นี่วัดไม่ไป ไปหาเจ้า แล้วก็แก้บน บนอะไรกัน โอ๋ยบ้าบอคอแตก

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าระบบเศรษฐกิจ เราก็มีสติปัญญาของเรา เราทำของเรา บุญกุศล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเป็นนักกีฬาก็ฝึกซ้อมของเราเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วถ้าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธทำหน้าที่ของเรา แล้วถ้าพูดถึงนักปฏิบัติ นักปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้มันเป็นจริงขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ดูสิ เราไปหาผู้วิเศษทั้งนั้น ผู้ที่เราไปกราบไปไหว้ คิดว่าเป็นผู้วิเศษทั้งนั้น จะดลบันดาลให้เราได้หมดเลย

เวลาพระถ้าเขาเป็นธรรมเขาบอกนี่ไปติดสินบนพระ เวลาทางโลกติดสินบนพระแล้ว ไปบน แก้บน ติดสินบนทั้งนั้นน่ะ แล้วใครให้ติดสินบน เวลาพูดธรรมะนี่พูดกันได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาทำ ทำอย่างไรกัน ถ้าทำอย่างไรปั๊บ เพราะเหลวไหลอย่างนั้นมันถึงมาติดตรงนี้ไง มาติดที่ว่าชาวพุทธ

ถ้าเป็นชาวพุทธจริงนะ ไอ้ที่ว่าคำสาปแช่งเขา เขาสาปแช่งแล้วเราเป็นทุกข์เป็นยาก สาปแช่งนะ มันก็เหมือนคนโกรธ เวลาคนโกรธ คนหลง เขาพูดของเขาไปด้วยอารมณ์ของเขา แล้วมันจะมีผลอะไรล่ะ มันจะมีผลอะไรกับเราล่ะ

ในทางโลก ถ้าเราไม่ทำผิดกฎหมาย เราไปกลัวอะไรกฎหมายล่ะ เราไม่ได้ทำผิดแล้วไปกลัวอะไรล่ะ เราไม่ได้ทำ ถ้ามันทำ ทำก็เป็นกรรมแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาสาปแช่ง เราทำเอง เรารู้ของเราเอง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าคำสาปแช่งนี่ไร้สาระ ไร้สาระ มันจะไม่มีผลกับเราเลยถ้าเรามีศีล มีศีลมีธรรม สิ่งนี้จะไม่มีผลอะไรกับเราเลย เข้ามาทำอะไรเราไม่ได้เลย

แล้วอย่างทางโลกที่เขาบอกว่าเขามีของมีอะไรกัน นั่นก็เรื่องของเขา มันจะเข้ามาผู้ทรงศีลไม่ได้ ผู้ทรงศีล สิ่งนั้นเข้ามาไม่ได้

แล้วถ้าผู้ทรงศีล เวลาพระปฏิบัติแล้วทำไมมันมีผลอย่างนั้นน่ะ

อันนั้นกรรมเก่า กรรมใหม่ เวลากรรมของคน วาระของมันมาถึง มาถึงก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็แก้ไข เขาแก้ไขของเขา

แต่ของเราไปเชื่อ ไปเชื่ออย่างนั้น พอไปเชื่อ คำว่า “เชื่อ” พอเชื่อเพราะเขาชักจูง พอชักจูงขึ้นไปแล้วมันก็โดนหลอก โดนหลอกกันไป นี่มันโดนหลอกนะ

เวลาพูด มันมาพูดถึงชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธมีความเชื่ออย่างนี้ ชาวพุทธทำอย่างนั้น มันเป็นพุทธตรงไหน มันถือผีถือสาง นอกลัทธิศาสนาพุทธ ถ้านอกลัทธิศาสนาพุทธ

พุทธมามกะ เวลาปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเพราะมีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เสียสละทาน ทำบุญกุศลมาเพื่ออำนาจวาสนาบารมี เวลามีสติปัญญาก็เป็นสติปัญญาของเรา มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้เลย ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้เลย นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นบอกว่า สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ ถ้าเราเป็นชาวพุทธจริง เรื่องนี้จะไม่มี

แต่นี้พอชาวพุทธเรามันเหลวไหลกัน แล้วก็เชื่อกันเรื่องอย่างนี้ แล้วเชื่อเรื่องอย่างนี้แล้วเป็นชาวพุทธที่ไหนล่ะ เวลาลงทะเบียนบ้านว่าเป็นชาวพุทธ ถือพระพุทธศาสนา เวลาเชื่อไปเชื่อมงคลตื่นข่าว ไปเชื่อพวกเข้าทรงทรงเจ้า ไปเชื่อเรื่องไร้สาระ ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ไง กุมารทอง พวกเครื่องรางของขลังน่ะ

คำว่า “เครื่องรางของขลัง” มันเป็นของชำร่วย เบญจภาคีๆ สมเด็จโต ที่ว่ามีค่าที่สุดน่ะ เป็นของชำร่วย สมัยสมเด็จโตมันมีงานวัด แล้วมีคนมาทำงานวัด ท่านก็พิมพ์ไว้แจก ไว้เป็นของชำร่วย แล้วที่อื่นเขาไม่ได้ถือของชำร่วย ของชำร่วยก็เพื่อให้เป็นของขวัญ ก็เท่านั้นเอง พอไปๆ มันส่งเสริมกันจนเชื่อกันไปทั่ว อันนั้นเชื่อไปทั่ว อันนี้เป็นกระเบื้อง แต่ไอ้ความเชื่อในปัจจุบันนี้มันเป็นอาชีพที่มาชักนำกัน พอชักนำมันก็ไปร้อยแปดใช่ไหม

ฉะนั้น เวลาเราไป เวลาถ้าไปปรึกษาคนอื่นนะ บอก “นี่เป็นคำสาปแช่งนะ ถ้าเป็นคำสาปแช่งมันต้องไปแก้นะ มันต้องไปหาคนนั้นหาคนนี้”...เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย เสียความรู้สึก

ไอ้ความรู้สึกอันนี้มีค่าที่สุด หัวใจ ลองเชื่อเรื่องอย่างนั้นแล้วก็ชักนำกันไปอย่างนั้น พอชักนำกันไปอย่างนั้นมันก็ไปอยู่ในอาณัติของเขา ไปยอมรับความเชื่อแบบนั้น

แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราไม่เชื่ออะไรเลย เขาจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหน เวลาบุญกุศลเขาต้องนิมนต์พระไปฉันทุกที่เลย ไปดูสิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเวลาเขาครบรอบเขา เขาต้องนิมนต์พระไป ถ้ามันเป็นความจริงก็ให้ทำเอง ไม่ต้องนิมนต์พระไปก็จบไง

ถ้าเราเชื่อถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่แล้ว เราเชื่อพระเราอยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอย่างนั้นน่ะ แล้วพระจริงๆ พระในใจเรานี่ไง เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่ไง เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามาไง ถ้าใจเราสงบแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันจบตรงนี้ไง ถ้าจบตรงนี้มันจบไง

พระพุทธศาสนาสอนเรียบง่าย สอนเรียบง่าย ชีวิตประจำวันเรียบง่ายมาก ไม่มีอะไรพิเศษเลย ไม่มีอะไรเลอเลิศเลย มันจะเลอเลิศแพรวพราวกลางหัวใจ จิตรื่นเริง จิตผ่องใส นี่มันเลอเลิศ มันเลอเลิศกลางหัวใจนั่น สิ่งอื่นน่ะเรียบง่าย

ไอ้นี่มันไปอยู่ข้างนอกไง แหมมันไปฟู่ฟ่ากันอยู่ข้างนอก แสดงว่าจิตใจว้าเหว่ จิตใจไม่มีที่พึ่ง

แต่ถ้าจิตใจมันดีงามนะ ข้างนอกไม่มี เรียบง่าย พระพุทธศาสนาสอนเรียบง่ายมาก แล้วสอนเรื่องหัวใจ สอนเรื่องความรู้สึก แล้วพอความรู้สึกแล้วนะ อทาสิ เม อกาสิ เมฯ เวลางานศพไง เวลาผู้ที่สูญเสียญาติผู้ใหญ่ไปไง มีความทุกข์ใจ มีความเสียใจ มีความผูกพันน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย แต่ก่อนนั้นยังไม่มีพระพุทธศาสนา คนก็ยังไม่มีที่พึ่ง กราบภูเขา กราบไฟ กราบพระอาทิตย์ แต่บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ตรัสรู้ธรรมที่ไหน ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เวลาตายไปมันสิ้นอายุขัยของเขา เขาต้องไปโดยข้อเท็จจริงของเขา สัจธรรม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่เป็นความจริง ธรรมะเป็นธรรมชาติ สัจธรรม แต่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีบุญมีบาปเป็นตัวขับดันไป

ฉะนั้น เวลามีใครที่พลัดพราก ที่ต้องเสียชีวิตไป อย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ ให้ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี แล้วทำคุณงามความดีที่ประเสริฐที่สุดคือหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเสร็จแล้วเวลาเราจะออกจากการภาวนา ให้อุทิศส่วนกุศลถึงกัน เพราะความรู้สึกกับความรู้สึกมันถึงกันได้

ความรู้สึก เห็นไหม คนที่เกิดมาเป็นครอบครัวเดียวกัน เขาต้องมีบุญมีบาป มีสายบุญสายกรรมร่วมกันมา เขาต้องทำบุญทำกรรมร่วมกันมา เขาถึงมาเกิดเป็นญาติกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน การเกิดอย่างนั้นเวลามันพลัดพรากมันก็ต้องมีการกระเทือนใจเป็นเรื่องธรรมดา “เธออย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน ให้อุทิศส่วนกุศลถึงกัน” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เขาก็เลยเอามาสวดตอนงานสวดศพไง

ตอนงานสวดศพเขาสวดทุกงานเลย อทาสิ เม อกาสิ เมฯ เขาสวดทุกงานศพเลย เตือนคนไปงานศพให้เข้าใจให้ถึง ถ้ามันเข้าถึงในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ดำรงชีวิตอยู่ ตั้งแต่ตายไป พระพุทธเจ้าสอนหมดเลย

แล้วนี่มีปัญหากัน เขามาสาปมาแช่งเรา เขามาทำลายเรา แล้วมันจะมีผลอะไรล่ะ ไม่เห็นมีผลอะไรเลย เราดูเป็นเรื่องตลก จริงๆ นะ ในสายตาเรานะ ใครจะด่าใครจะว่า เชิญตามสบาย เชิญ แต่อย่ามาด่าต่อหน้านะ ก็มีปากเถียงเหมือนกัน แต่ถ้าเขาจะนินทากาเลมันเรื่องของเขา เรื่องของเขา เรามีจุดยืน เรามีจุดยืน ศีล สมาธิ ปัญญาของเราด้วยเราทำของเรา พอ

นี่พูดถึงว่าคำสาปแช่งของเขา เราจะบอกว่าไม่มีผล ไม่มีผลกับผู้ที่มีศีล ไม่มีผลกับผู้ที่มีธรรม แล้วไม่ใช่ไม่มีผลธรรมดานะ เวลาผลมันตอบสนองกลับไป ดูหลวงตา โครงการช่วยชาติฯ สิ เวลาเสร็จโครงการช่วยชาติฯ เราดูถ่ายทอดสดทุกวันตอนเช้า คนนู้นก็มาขอขมา คนนี้ก็มาขอขมา บางคนมาขอขมาเพราะอะไร เพราะปากมันเบี้ยว ปากเบี้ยวเลยนะ มาขอขมา

พอขอขมาเสร็จแล้วเขาบอกว่าเขาติเตียนหลวงตา ติเตียนหลวงตาเรื่องโครงการช่วยชาติฯ เรื่องอวดเนื้ออวดตัว เรื่องอวดดิบอวดดี นี่ติเตียน ติเตียนเพราะอะไร

ติเตียนเพราะมีหัวหน้า มีพระ มีคนชี้นำว่าหลวงตาไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เขาก็ติเตียนไปด้วย แล้วเขาก็ด่าไปด้วย พอด่าๆ ไป ปากเบี้ยวเลย เห็นผลทันตา

เห็นผลทันตาก็สำนึกผิด พอสำนึกผิดแล้วก็ขอขมาลาโทษที่บ้านเขา เขาอาย ไม่กล้ามา ปากมันกลับมาเป็นปกติไง ปากมันดีขึ้น ปากดีขึ้นแล้วเขาก็มาขอขมาที่วัดป่าบ้านตาด มาขอขมากับตัวหลวงตาเองเลย เพื่อความสบายใจ แต่เขาลงใจแล้วเขาถึงมาขอขมา

เวลาเขามาขอขมา แล้วโครงการช่วยชาติฯ ของหลวงตาจบแล้ว ทุกวันเลย คนนู้นมาขอขมา คนนี้มาขอขมา คนนู้นมาขอขมา

แล้วเมื่อก่อนเอ็งด่า เอ็งไม่ได้คิดถึงเลยเนาะ งานก็จบแล้วนะ เวลาที่เอ็งด่า เอ็งทำลายเขาน่ะ นั่นโครงการช่วยชาติฯ เขากำลังดำเนินการอยู่ โครงการช่วยชาติฯ กำลังดำเนินการอยู่ เขาต้องการความสามัคคี เขาต้องการคนร่วมมือ เอ็งก็ด่าเขา ทำลายเขา เจาะจงเพื่อจะทำลายโครงการของเขา

แต่เพราะเขามีคุณธรรม เพราะหลวงตาท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านก็มีจุดยืนของท่าน ท่านไม่สนใจเรื่องโลกธรรม ๘ ท่านทำของท่านจนประสบความสำเร็จ จนประเทศชาติมั่นคง จนเงินสำรองมั่นคง ค่าเงินบาทมีค่าขึ้นมา ทุกคนเห็นคุณงามความดีของท่าน แล้วพองานเขาเสร็จแล้ว เวลาทำ เอ็งก็คอยขัดแย้ง เอ็งก็คอยทำลายตลอด เวลาโครงการเสร็จแล้วเอ็งสำนึกผิด เอ็งก็เข้ามาขอขมา

คำว่า “ขอขมา” โครงการมันเสร็จแล้ว มันจะมีผล มีผลตอนทำโครงการน่ะ มันเหนื่อยยากแสนเข็ญ แล้วก็คอยทิ่มคอยตำ คอยทำลายกัน เวลาโครงการเขาเสร็จแล้ว สำนึกผิด สำนึกผิดเสร็จแล้วก็มาขอขมา ขอขมาตอนโครงการมันเสร็จแล้ว เราเห็น โอ้โฮเห็นตลอดเลย

นี่เราบอกว่า คำสาปแช่งอะไรของเขาไร้สาระ แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมขึ้นมา เขาทำสิ่งใดมันกลับไปกระทบกับเขาอีกต่างหาก ถ้ากระทบกับเขานั่นเป็นผลของเขา แต่นี้มันกลับมาที่ผู้ถามไง “หนูนอนไม่หลับ หนูนอนไม่หลับเลย นอนกลางคืนแล้วนอนหลับไม่สนิทเลย

จิตใจมันอ่อนแอไง จิตใจมันหวั่นไหว เราไม่ได้ทำน่ะ ก็โยมเขียนมาบอกว่าโยมทำตามสัญญา ทำตามข้อตกลง ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเวลาเขาสาปแช่งไปเดือดร้อนอะไรล่ะ เดือดร้อนอะไรด้วย จะไปเดือดร้อนอะไร

ไม่ต้องไปเดือดร้อน ก็มันเป็นความเห็นของเขา เราจะไปควบคุมความคิดคนไม่ได้หรอก แต่เราควบคุมความคิดของคนไม่ได้ เขาจะมีความคิดอย่างนั้น เขาจะสาปแช่งอย่างนั้น เรื่องของเขา สายลม แสงแดด เช้าๆ ขึ้นมาก็อบอุ่น กลางวันก็ร้อนหน่อย เย็นๆ ลมพัดเย็นสบายดี เห็นไหม สายลมไง สายลม แสงแดดไม่มีความหมาย นี่ก็เหมือนกัน ไม่มีความหมาย ไม่มีความหมายหรอก ถ้าไม่มีความหมายแล้วกลับมา

เขาบอกว่า “ขอให้หลวงพ่อแนะแนวทางให้หนูด้วยค่ะว่าหนูควรทำใจอย่างใดให้สงบ ไม่คิดกับคำสาปแช่งเหล่านั้น

นี่สายลม แสงแดด คำสาปแช่งมันจะมีผลหรือ ถ้าเขามาอวยพรว่าโยมจะเป็นเศรษฐี จะมีเงินในธนาคารพันล้าน โยมว่าโยมจะมีอย่างนั้นไหมถ้าโยมไม่ทำกิน

ถ้ามีคนเขียนมาเลย เขียนในเฟซบุ๊กมาเลย ต่อไปโยมจะเป็นคนดี มีเงินในธนาคารพันล้าน แล้วมันจะมีอย่างนั้นไหมล่ะ เออถ้ามันมีเงินพันล้านสมที่เขาพูด ไอ้คำสาปแช่งมันก็มีผลไง

ไอ้คำสาปแช่งมันไม่มีผลหรอก เพราะอะไร เพราะสาปแช่งก็สาปแช่งปากเขา นี่ก็เหมือนกัน ไอ้คนสาปแช่งมันเขียนมุมกลับ บอกว่าโยมเป็นคนดี พรุ่งนี้ในธนาคารโยมได้เงินพันล้าน แล้วมันจะมีไหมล่ะ มันก็ไม่เห็นมีเลย

เออแต่ถ้าโยมทำมาหากิน โยมรู้จักเก็บหอมรอมริบ มันก็จะมีสะสม มีเงินออม มันจะมีขึ้นมาเท่าไรมันก็มีเพราะโยมกระทำใช่ไหม มันไม่ใช่มีเพราะเขาเขียนมาชมว่าโยมจะมีเงินหรอก มันอยู่ที่โยมจะทำงานหรือไม่ทำงาน

นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธมีหลักมีเกณฑ์แล้วมันจะมีอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ให้ถือใดๆ ทั้งสิ้น ให้ถือความจริงของเรา แล้วถ้าเราทำความดีของเราแล้วก็จบ

จะทำอย่างไรล่ะ จะไปให้เขาชมเราหรือ ไม่ใช่นักการเมืองนี่ แจกตังค์ให้ชมว่าเราเป็นคนดี จ้างเขาไปลงคะแนนเสียง ถึงเวลาดอกไม้ก็เที่ยวไปแจกเขาให้เอามาให้เรา จะทำอะไรก็เอาไปให้เขาก่อน นั่นไง อยากได้ความดีไง เอาดอกไม้ไปแจกเขาก่อน แล้วก็ให้มามอบให้เรา เดินมาก็รับดอกไม้ เอาอย่างนั้นใช่ไหม

เราไม่ได้ทำอย่างนั้นนี่ เราจะเอาความดีก็เป็นความดีของเรา เราไม่ใช่นักการเมือง นักการเมืองจะให้คนชมว่าดี ไม่ดีก็จ้างมันชมว่ากูเป็นคนดี มันจะลงคะแนนก็จ้างให้มันลงให้ แล้วบอกว่า “ประชาชนเลือกมา ประชาชนรักผม ผมมีฐานเสียงกว้าง”...จ้างมาทั้งนั้น เอาอย่างนั้นใช่ไหม

ถ้าไม่เอาอย่างนั้น เราทำใจของเรา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะหัวใจของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำดีของเรา พระพุทธศาสนาไง

คำถามนี้มันไม่มีอะไรหรอก แต่เราจะพูดเรื่องพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องศาสนาพุทธนะ เวลามีปัญหาขึ้นมาก็บอกว่า เพราะพระไม่สอน ถ้าศาสนาดีต้องทำให้คนฉลาด ทำไมสังคมไทยโดนหลอกโดนลวงมาตลอด สังคมไทยไม่มีจุดยืนเลย

เพราะสังคมไทยมันบอกว่าปากมันนับถือศาสนาพุทธ แต่พฤติกรรมมันน่ะมันไสยศาสตร์ทั้งนั้น พฤติกรรมของมัน มันถือนอกศาสนากันทั้งนั้นเลย

ถ้าศาสนาพุทธเขาไม่ทำตัวกันอย่างนั้น ศาสนาพุทธเขาเรียบง่าย พระเขาบิณฑบาตมาก็ฉันแค่อิ่มเดียวเท่านั้นน่ะ แล้วมันต้องสะสมอะไรกันมากมายอย่างนั้น มันยังต้องทำอะไรยศถาบรรดาศักดิ์ มันเป็นดาราอะไร อยากจะเป็นดาว

ใครมันต้องเป็นดาวอะไร เป็นพระ มันเป็นพระมันก็แค่เป็นพระนั่นน่ะ ความเป็นจริง เป็นจริงในใจไง พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง ไม่สอนมงคลตื่นข่าว ให้ถือเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถ้าถือเฉพาะในพระพุทธศาสนา ถ้ามันเป็นพระพุทธศาสนาจริง

เพราะโยมเขาบอกว่าเขาเป็นชาวพุทธ แล้วเขาประพฤติปฏิบัติด้วย แต่เขามีอาชีพอย่างนี้

อาชีพอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องอาชีพ มันก็ต้องมีสติปัญญา เราก็เจรจาทางข้อสัญญา เจรจา เราก็ต้องเจรจาตามความเป็นธรรม เราต้องมีสติปัญญา เราไม่ใช่ว่า

คนเรามีเมตตานี่นะ มันสงสารนะ คนโง่ๆ มันพูดมีแต่ความผิดพลาดทั้งนั้นน่ะ เราเชือดเอาคำพูดเขา เราก็ได้เปรียบเขาอยู่แล้ว เรายังไม่เอาเลย เรายังบอกว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันต้องไปทำอย่างนี้ๆๆ เราไม่เอารัดเอาเปรียบเขา

แม้แต่การเจรจา เวลาพูดมาเรายังมีช่องทางที่เราจะเอาเปรียบเขาได้เยอะแยะเลย เรายังไม่ทำเลย แต่ถ้าเราจะไปทำเขา มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้แล้ว ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้ สังคมจะดีขึ้นทั้งนั้นน่ะ สังคมมันไม่เลวลงหรอก สังคมจะดีขึ้น

แต่นี่มันไม่อย่างนั้นน่ะ ปากว่าเป็นพระพุทธศาสนา มาสาปแช่งคนนู้น สาปแช่งคนนี้ สาปแช่ง

สาปแช่งมันก็เป็นการจองเวรจองกรรม ถ้าเป็นการจองเวรจองกรรม มันก็เป็นการอาฆาตมาดร้าย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่จองเวรไม่จองกรรมใครทั้งสิ้น ใครทำอะไรมาก็อโหสิกรรมไปกับเขา สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครทำดีทำชั่วมันกรรมของสัตว์ ไม่ใช่กรรมของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเราให้มีจุดยืนของเรา เรามีความดีของเราในใจของเรา เราเพื่อคุณธรรมในใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ให้เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ ไง ถ้าเราเป็นชาวพุทธจริงๆ ขึ้นมา พระพุทธศาสนาจะมีค่าเลย มีค่าเพราะบุคลากรในพระพุทธศาสนามีคุณภาพ

นี่บุคลากรในพระพุทธศาสนานี้อ่อนแอมาก แล้วก็ปากว่าชาวพุทธๆ ชาวพุทธอะไรกันก็ไม่รู้ ถ้าชาวพระพุทธศาสนาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริงอย่างนั้นนะ พระพุทธศาสนานี่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก แล้วสุดท้ายมันจะมีคุณธรรมในใจ ถ้ามีคุณธรรมในใจ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง